Archive

Archive for the ‘Self-Change’ Category

คนประเภทที่ไม่ควรร่วมงานด้วยและอาจจะไม่ควรร่วมชีวิตด้วย

July 18th, 2020 Comments off

ผ่านชีวิตมาพักใหญ่ก็เห็นว่าคนบางคนมีลักษณะที่ไม่ชวนให้ร่วมงานหรือใช้ชีวิตด้วย นั่นคือคนจำพวกที่ไม่พูดตรง ๆ ว่าตัวเองไม่รู้ คนจำพวกนี้จะไม่บอกว่าไม่รู้แต่ตอบแบบ ไปไหนมาสามวาสองศอกแล้วทำให้คนอื่นเสียเวลาในบางครั้งอาจจะเป็นอันตรายได้ถึงชีวิต

เรื่องมันเริ่มจากผมซื้อโทรศัพท์ feature phone ให้ลูกเอาไปโรงเรียนแล้วหาข้อมูลแล้วเจอว่าต้องใช้ซิมจากแค่สองค่าย ก็เดินไปถามศูนย์ว่าจะซื้อซิมให้กับโทรศพท์ feature phone พนักงานตอบว่า “ซิมรายปีต้องซื้อผ่านเน็ตเท่านั้น” นั่นก็ทำให้ผมงงเพราะตอบไม่ตรงคำถาม เดินเข้าไปถามอีกครั้งก็ยังตอบเหมือนเดิมเลยต้องบอกว่ามาซื้อซิมเผื่อจะเจอคนอื่นบ้าง ผมรอคิวอยู่นานร่วม 40 นาทีได้ เจอพนักงานขายดันให้คำตอบผมไม่ได้อีกว่าซิมจะใช้ได้ไหมสรุปผมเสียเวลาไปสี่สิบนาทีเปล่า ๆ เดินออกถามร้านข้าง ๆ ร้านข้างแค่บอกผมยืมโทรศัพท์หน่อยครับเอาซิมตัวเองใส่ดูว่าใช้ได้ไหมสรุปเสียเงินไป 49 บาท ก็ซิมของเจ้าที่ผมไปถามตอนแรกนั่นแหละครับ

ทีนี้ว่ากันด้วยชีวิตการทำงานเราจะเจอคนแบบนี้เสมอ คนที่ตอบไม่ตรงคำถามเพราะตัวเองไม่รู้แต่ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่รู้ คนแบบนี้ก็เหมือนกันทำให้เราเสียเวลาในการทำงานไปเปล่า ๆ ด้วยความที่ไม่กล้ายอมรับนี่แหละครับ ผมมองว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะคนเรามันจะรู้ไปหมดเป็นไปไม่ได้มันต้องมีเรื่องที่ไม่รู้ และเมื่อไม่รู้ก็หาความรู้ให้รู้แค่นั้นเอง คนแบบนี้ทำให้องค์กรที่ตัวเองอยู่มีความเสี่ยงยิ่งอยู่ระดับสูงยิ่งเสี่ยง เสี่ยงที่จะทำให้เสียทรัพยากรไปเปล่า เสี่ยงที่จะไม่ยอมรับว่าเกิดปัญหาแล้วแก้ไข ที่คนแบบนี้ไม่ควรทำงานด้วยไม่ใช่เพราะไม่รู้แต่ไม่สามารถยอมรับว่าตัวเองไม่รู้เพื่อจะไปหาความรู้ได้คนแบบนี้เลยไม่พัฒนา ในวงการเมืองก็มีคนแบบนี้เหมือนกันแต่อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลยว่าใครเดี๋ยวจะหาว่าผมอคติเปล่า ๆ

Categories: Self-Change Tags:

ขับ Grabfood วันแรกเชิงวิเคราะห์

April 5th, 2020 Comments off

ช่วงนี้รายได้ผมลดลงเกินครึ่งก็เลยคิดจะหารายได้เสริมโดยการขับ Grabfood ครับ ตอนแรกก่อนจะประกาศเคอร์ฟิวผมเข้าใจว่า Grab น่าจะยังขี่ได้เพราะเข้าข้อยกเว้น แต่ไม่ใช่ครับวันนี้ Grab ประกาศเวลารับงานเป็นไม่เกินสามทุ่ม ทำให้ผมอาจจะตัดสินไปทำอย่างอื่นแทน

แต่วันนี้จะมาเขียนเรื่องหลัก ๆ เลยคือเรื่องสถิตินิดเดียวจริง ๆ แล้วก็อาจจะเป็นเรื่อง Game theory นิดหน่อย เข้าใจว่ายังไม่มีคนเขียนเรื่องนี้ด้วยการเอาเรื่องพวกนี้ไปจับครับ วันนี้ผมขี่ Grabfood วันแรกทำเงินได้ 40 บาทถ้วนครับ เหตุผลเพราะ

  1. Grab มีค่าลงทะเบียนแรกเข้า 200 บาทครับ
  2. ผมขี่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเข้าใจว่างานไม่ได้เยอะขนาดนั้นครับแล้ว Grabfood Foodpanda นี่แทบจะขับชนกันครับ

มาวันแรกผมเข้าใจว่าขี่ Grabfood หมูแน่ ๆ ได้เงินชัวร์วิธีการของผมก็คือไปรอที่ร้านครับ เพราะหลัก ๆ เลยผมเข้าใจว่าตัว Grab เลือกคนจาก location ที่แชร์ไปคนที่อยู่ใกล้ร้านน่าจะได้งาน เรื่องนี้มีข้อมูล publish อยู่นะครับลองอ่านจากลิงค์นี้ได้ครับ เรื่องต่อมาคือผมออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมง แต่ออร์เดอร์แรกเข้าประมาณเก้าโมงกว่า ๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่เหมาะจะออกจากบ้านน่าจะเป็นเก้าโมงมากกว่า อันนี้ทำให้ผมเสียเวลาไปชั่วโมงหนึ่งเต็ม ๆ

ออร์เดอร์แรกมาก็ดีใจครับชีวิตมีความหวังเริ่มเห็นหนทางการทำเงินครับ แต่พอเสร็จจากออร์เดอร์แรกอันต่อไปก็ไม่มาครับ อย่างที่ผมบอกครับว่าผมรอหน้าร้าน แต่ตอนที่รอมันดันมีคันอื่นมารับออร์เดอร์ไปแสดงว่ามีปัจจัยอย่างอื่นนอกจากระยะห่างของเราจากร้านครับ ซึ่งเดี๋ยวผมจะอธิบายว่าคืออะไร (ทั้งหมดนี้คือการเดาล้วน ๆ แต่เป็นการเดาแบบมีเหตุผลนะครับ)

ด้วยอย่างที่ผมบอกว่าระหว่างที่รอผมเห็นคันอื่นได้ออร์เดอร์ไปและระหว่างขากลับผมก็เห็นว่าเฮ่ย Grabfood Foodpanda รอเต็มเลยแฮะเกือบสิบคัน จากข้อมูลที่เห็นทำให้ผมคิดว่าเฮ่ย รอตรงนี้ไม่ได้ประโยชน์แน่ ๆ แล้วเราจะเสียเวลาวันแรกไปเปล่าเพราะฉะนั้น ลองหาจุดที่มีร้านอาหารเยอะ ๆ แล้วมีพวก Grabfood น้อย ๆ ดีกว่าก็เลยตระเวนขับไปเรื่อย ๆ ครับแล้วหิวหาลูกชิ้นทอดกินดีกว่าจอดแวะร้านลูกชิ้นทอด กินเสร็จก็มีลูกชิ้นทอดเข้ามาพอดี สรุปเลยช่วงเช้าผมได้งานแค่ 2 งานครับตีเป็นเงินในระบบ 60 บาท เท่ากับผมไม่ได้รับเงินจริง ๆ ซักบาทนะครับแต่แค่เงินในระบบจากติดลบ 200 บาทเหลือ 140 บาท

จริง ๆ ก่อนที่จะขับเห็นว่าจะมี Features heat map ในแอพแต่ผมดูแล้วไม่มีนะครับ เชียงใหม่อาจจะยังไม่มีก็เลยทำให้ค่อนข้างสะเปะสะปะในการหาว่าจะไปอยู่ตรงไหนดี พอช่วงเที่ยงผมพักนิดหน่อยประมาณสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาวิ่งต่อ แต่ก็เหมือนเดิมครับรอนานมากงานไม่ขึ้น ผมจะถอดใจครับก็ประมาณว่าจะกลับบ้านแต่จังหวะที่กลับบ้านงานดันเด้งครับ ต้องบอกก่อนว่าปกติผมเคยสั่ง Grabfood ไปที่บ้านครับ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่าแต่จะกลับสองทีงานเด้งสองทีครับ

โดยสรุปเลยนะครับบริษัทได้เปรียบจากการที่มีค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 200 บาท เท่ากับว่าคุณต้องทำงานให้เขาฟรี ๆ 200 บาท นี่คือจุดแรกที่บริษัทได้เปรียบคุณ จุดต่อมามันมีสิ่งที่เรียกว่า incentive คือถ้าเราทำงานตามเงื่อนไขเราจะได้เพชรซึ่งเมื่อสรุปวันเพรชที่ว่าจะกลายเป็นเงินครับ แต่ทีนี้ไม่มีใครรู้ว่าเงื่อนไขการแจกงานเป็นอย่างไร คือบริษัทสามารถที่จะแจกงานให้กระจายได้เพื่อที่จะได้ไม่มีใครได้รับเพชรครบตามจำนวนเพื่อทำให้ได้เงินสูงอย่างที่เขาบอกไว้ อย่างที่บอกครับมันเป็น zero sum game บริษัทได้เราจะเสียมันไม่ได้ win win ครับเพราะอย่างนั้นมันเป็นเรื่องยากที่บริษัทจะจ่ายงานให้คุณจนคุณสามารถได้เงินแบบเต็มเหนี่ยวเพราะมันทำให้บริษัทได้เงินน้อยลง แต่ทำไมถึงมีคนออกมาบอกว่าทำได้ เพราะว่ามันมีบางคนทำได้ครับ เวลาที่เราทำงานแบบนี้รายได้ของทุกคนจะออกมาเป็น normal distribution คือมีคนที่ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยบางส่วน มากกว่าค่าเฉลี่ยบางส่วนในขณะที่คนจะไปกอง ๆ กันอยู่ตรงค่าเฉลี่ย ซึ่งมันแปลว่ามีคนทำได้ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำได้ มันต้องอาศัยประสบการณ์ความเข้าใจในกฎของบริษัทว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับงานมากที่สุด

อีกเรื่องคือข้อมูลการทำงานเนี่ยบริษัทเองไม่ได้เปิดเผย คือไม่ได้ออกมาบอกว่าคนส่วนใหญ่ทำงานแล้วได้เงินเท่าไหร่ คือเข้าใจใช่ไหมครับการที่ปิดบังข้อมูลบางส่วนทำให้คนเข้ามาในธุรกิจเอง แล้วบริษัทก็จะได้แรงงานฟรี ๆ 200 บาทไปเรื่อย ๆ ตรงนี้เองผมมองว่าพวกธุรกิจแบบนี้ต้องมีกฎหมายบังคับให้ออกรายงานประจำปีว่ารายได้คนส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน ทำออกมาเป็น normal distribution curve เลยเพื่อให้คนสามารถตัดสินใจได้ว่ามันคุ้มค่าที่จะทำไหม

โดยสรุปเลยถ้าคุณเพิ่งขับ Grabfood วันแรกเขาจะใช้คุณจนคุ้มค่า 200 บาทครับ ถ้าทำท่าจะถอดในอาจจะป้อนงานให้อีกหน่อยเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะทำอย่างต่ำในกรอบ 200 บาทครับ แต่ถ้ามีใครจะทำเงินได้มากเกินไปเขาจะเริ่มจ่ายงานให้คนอื่นครับ ผมตั้งใจว่าจะลองอีกซักหน่อยดูว่าพอพ้นวันแรกไปแล้วจะเป็นอย่างไร รายได้จะเป็นอย่างไรสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำไหม ซึ่งเอากันตรง ๆ รายได้พวกนี้ควรจะอยู่แถว ๆ รายได้ขั้นต่ำไม่งั้นคนก็ไม่มาขับเพราะไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ผมบอกเลยถ้าคุณมีทางเลือกมีทางทำเงินที่ดีกว่านี้ผมแนะนำเลยให้ทำไปอย่างอื่นดีกว่าครับ อย่ามาทำงานทั้งวันที่ไม่รู้ว่าคุณจะได้เงินถึง 300 บาทหรือเปล่าเลยครับ

Categories: Self-Change Tags:

3 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากวิกฤต COVID-19

April 3rd, 2020 Comments off
  1. ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน บางสิ่งที่เราไม่คาดว่าจะเกิดใช่ว่าจะไม่เกิด ก่อนหน้านี้หลังการมาของ shale gas ทำให้ราคาน้ำมันตกทำให้ผมคิดว่าวิศวฯ ปิโตรกลายเป็นสาขาที่เสื่อมความนิยมลงธุริจเกี่ยวกับน้ำมันไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาปีอีกปีถึงเฟื่องฟูอีกครั้ง แต่ราคาน้ำมันก็กลับมายืนที่ 50 USD ได้แต่วันนี้ที่ผมเขียนราคาน่าจะอยู่ราว ๆ 20 USD เพราะซาอุไม่ยอมลดกำลังการผลิต ตอนนั้นผมคิดว่านักบินนี่ซิคืออาชีพที่ควรเป็นเพราะแน่นอนยังไงคนก็ต้องบินโลกเราขาดนักบินไม่ได้ แต่วันนี้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ไม่มีเที่ยวบินขึ้นลงจากต่างประเทศแม้แต่เที่ยวบินเดียว นี่ทำให้ผมคิดได้ว่าความเชื่อที่ว่าอาชีพนั้นมั่นคงแบบถาวรตลอดไปเป็นเรื่องไม่จริง หลังจากที่เกิดความกลัวว่าโรคจะแพร่ระบาดทำให้สายการบินต้องหยุดบินเพื่อปกป้องคนในองค์กร ข้อนี้ทำให้ผมคิดได้ว่าไม่ว่าอาชีพอะไรก็ต้องมีทางหนีทีไล่ ต้องมีทักษะอื่นที่งอกออกมานอกจากงานประจำของเรา
  2. เราต้องมีสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่มีความคล่องตัวสูงซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินไว้ใช้จ่ายในเวลาวิกฤตได้ วิกฤตครั้งนี้ทำให้ผมต้องเวรคืนกรมธรรม์มาใช้จ่ายก่อนยังดีที่น่าจะเท่าทุน แต่ตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าการทำประกันออมทรัพย์เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย เสียเวลาในการลงทุนโดยได้ดอกผลน้อย การเวรคืนอาจจะใช้เวลา 14 วันซึ่งนานมาก ๆ เมื่อเทียบกับการฝากสหกรณ์ในรูปแบบบัญชีออมทรัพย์ กรมธรรม์นี้ผมจ่ายมาทั้งหมด 10 ปี ได้เงินคืนมาราว ๆ 67,000 บาทโดยไม่รวมปันผล ถ้ารวมนี่จะเท่ากับว่าผมเสียเวลา 10 ปีไปแทบจะเปล่า ๆ โดยหากเปลี่ยนเป็นการฝากออมทรัพย์สหกรณ์ผมจะได้ดอกเบี้ยราว ๆ 13,000 บาท ข้อดีอีกอย่างคือความคล่องตัวสูงว่าสามารถถอนได้ในวันจันทร์-ศุกร์ ไม่ต้องทำเรื่องให้วุ่นวาย โดยสรุปแล้วผมเลยคิดออกว่าเงินที่เราฝากนั้นไม่จำเป็นต้องฝากทุกเดือนเพียงแต่ฝากรายปี ๆ ละ 1 หมื่นเป็นเงินสำรองยามฉุกเฉินก็พอ เงินส่วนอื่นก็เอาไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อที่จะให้ดอกผลในระยะยาวจะดีกว่า
  3. คนมักกลัววิกฤตแต่ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ ผมเห็นความถอดถอยในตลาดทุน ทั้ง ๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นเรื่องชั่วคราว หลาย ๆ คน แนะนำให้ถอนเงินสดออกมาจากตลาดทุนแต่ผมกลับเห็นตรงกันข้ามคือต้องใส่เงินเข้าไปในเวลานี้เพื่อให้ต้นทุนถูกลง ดัชนีตลาดฯจากพันปลาย ๆ ตกมาเหลือเกือบพันถ้วนถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะเก็บหน่วยลงทุนในราคาถูก แต่ขณะเดียวกันก็เห็นว่าการลงทุนใน RMF เองทำให้พลาดโอกาสที่จะทำกำไรอย่างมหาศาลไปถ้าผมไม่กลัวเรื่องการคืนเงินภาษีคงเปลี่ยนหน่วยลงทุนเป็นเงินสดก่อนหน้านี้แล้วช้อนซื้อในช่วงที่ราคาถูกจริง ๆ ข้อนี้ยังพันกับข้อที่ 2 ด้วยตรงที่เงินที่ใช้ในเวลาฉุกเฉินสามารถเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนในวิกฤตได้ด้วยเช่นกัน ทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาวได้
Categories: Self-Change Tags:

หายจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

March 20th, 2020 Comments off

จริง ๆ นี่จั่วหัวหลอกครับเพราะว่าจริง ๆ ผมไม่ได้เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาตั้งแต่ต้นครับ แต่มีอาการที่ทำให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นครับ ตอนปี 61 ผมมีอาการชาร้าวลงขา ตอนนั้นเป็นเพราะนอนเตียงที่เป็นหลุมครับเลยทำให้ปวดหลังบวกกับก่อนหน้านี้เคยยกของผิดท่าจนกล้ามเนื้ออักเสบครับ ตอนนั้นเข้าใจว่าการปวดหลังเกิดจากกล้ามเนื้อที่หลังอ่อนแอครับ ผมแก้โดยการยกบาร์เบลครับ deadlift squat ครับ ทำไปได้ซักพักครับประมาณ เม.ย. ปี 62 ผมก็เป็นกล้ามเนื้ออักเสบเฉียบพลันครับ
ปวดหลังจนเดินไม่ได้ต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเดียวครับ ตอนนั้น x-ray หมอบอกว่าเป็นที่กล้ามเนื้อรักษาโดยการฉีดยาแก้อักเสบพักซักหน่อยก็อาการดีขึ้นครับ พอหายแล้วผมพยายามกลับมายกบาร์เบลครับ แต่ทุกครั้งที่ยกจะปวดหลัง สุดท้ายผมเลยต้องออกกำลังกายแบบ body-weight ก็ทำมาเรื่อย ๆ จนเดือนนี้ผมอยากออกขามาก ๆ ก็เลยทำ single leg squat

แล้วอาการเดิมก็กลับมาครับมีอาการขาชาเวลานั่งกับพื้น เจ็บลงขาครับ จนผมงงว่าอ้าวน้ำหนักก็ไม่ได้ยกแล้วทำไมกลับมาเป็นอีกหละ จนค้นเน็ตเจอว่าไอ้การ single leg squat เนี่ยมันใช้กล้ามเนื้อที่เรียกว่า piriformis เป็นกล้ามเนื้อที่ก้นมากกว่า bodyweight squat ปกติ ซึ่งตัวกล้ามเนื้อที่ว่าลากผ่านขวางก้นใกล้กับเส้นประสาทที่ลงสู่ขาเรา หากกล้ามเนื้อดังกล่าวอักเสบ บวม มันจะไปทับเส้นประสาทที่ว่าทำให้เกิดอาการเหมือนหมอนรองกระดูทับเส้นประสาทครับ

วิธีการแก้ง่าย ๆ ครับพอผมรู้ว่าเกิดจากกล้ามเนื้อตัวนี้หลังออกกำลังกาย 1 วันมันจะเป็นช่วงที่เราปวดกล้ามเนื้อที่สุดผมจะนั่งทับลูกเทนนิสครับ นั่งทับให้มันคลึงกล้ามเนื้อให้คลายตัวครับ ลองทำตามนี้ดูนะครับ

สรุปคือตอนนี้ผมกลับไปยกน้ำหนักในท่า squat ได้อีกครั้ง แล้วรู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วไอ้การปวดร้าวลงขาที่ว่าเกิดจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นผมแนะนำเลยครับให้ลองทำ single leg squat ก่อนดูว่าปวดหรือไม่แล้วลองใช้ลูกเทนนิสนวดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นดูครับ

Categories: Self-Change Tags:

เราสามารถเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจจนเป็นอีกคนได้หรือไม่

January 26th, 2015 Comments off

บังเอิญผมไปเจอคำถาม นี้ ใน Quora ครับ เค้าถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจจนเปลี่ยนเป็นคนละคน ผมเห็นว่าคำตอบของ นิโคลัส น่าสนใจดีก็เลยแปลให้อ่านกันครับ นิโคลัสตอบดังนี้ครับ

 

นิโคลัส : ผมทำได้

นิโคลัส :

completly change

 

ผมขอใช้ภาพด้านบนเพื่อเสริมคำตอบของผม แต่การเปลี่ยนทางด้านกายภาพเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น

ภาพด้านซ้ายเป็นภาพผมตอนอายุ 15 หนัก 90 ปอนด์ (ราว ๆ 45 กิโลกรัม) ผมป่วยทุกวัน (ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Celiac desease ภูมิแพ้กลูเตน) ผมขาดโรงเรียนอาทิตย์ละ 2-3 วัน ผมเรียนได้เกรดซีเป็นอย่างมากสำหรับทุกวิชา ผมเล่น WOW แบบหามรุ่งหามค่ำ ผมมีเพื่อนน้อยเพื่อนที่มีก็เป็นพวกที่เจอในเน็ต ผมอ้างว้างและซีมเศร้า นอนไม่หลับไม่ต้องสงสัยว่าเกิดจากการเล่นเกมส์จนดึกดื่น ผมมีมุมมองโลกแต่ในแง่ลบ บ่อยครั้งที่ผมพยายามฆ่าตัวตายหรือหนีออกจากบ้าน

ภาพด้านขวาถ่ายตอนผมอายุ 23 ปี ผมไม่ดื่มไม่สูบ กินแต่อาหารที่มีประโยชน์เพื่อที่โรคประจำตัวจะได้ไม่กำเริบ ผมขาดงานน้อยมาก และจบมาจากมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยม เกรดเกือบสี่ (สำหรับคนที่เกมส์เรื่องเกรด ผมทำได้ตอนที่ยังเล่น WOW) ผมมีเพื่อนที่โรงยิมแถวบ้านและเข้าร่วมแวดวงนักกล้าม ผมทำงานในบริษัทโฆษณางานส่วนใหญ่ต้องพบปะผู้คนมาก ผมนั่งสมาธิทุกวันและนอนหลับสนิท ผมมองตัวว่ามีพลังในการสร้างสรรค์ ผมใช้เวลาอย่างหนักในแต่ละวันเพื่อให้คนอื่นตระหนักถึง ความสามารถของตัวเองและกลายเป็นคนที่เขาอยากจะเป็น

เมื่อผมมองภาพของเด็กผอมกะหร่องด้านซ้ายมือผมจำความเจ็บปวด ผมจำบางเรื่องราวและบางความรู้สึกที่แน่ชัดได้ แต่ผมจำเขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นมากจากตอนนั้น เขาเป็นเพียงแค่ความทรงจำในอดีตอันไกลโพ้น ผมต้องคอยย้ำว่าเขาเคยมีอยู่จริงไม่เช่นนั้นเขาก็จะหายไปในอดีต

และคุณรู้ไหมนั่นเป็นสิ่งที่สวยงาม

Categories: Self-Change Tags: